กสม. ศยามล ลงพื้นที่รับฟังปัญหาที่ดินทับซ้อนเขตอนุรักษ์ในพื้นที่ตรัง-สตูล ประชาชนกังวลกฎหมายใหม่กระทบสิทธิทำกิน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2568 นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนายไพโรจน์ พลเพชร ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. ลงพื้นที่จังหวัดตรังและสตูล เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ เกี่ยวกับปัญหาแนวเขตที่ดินทำกินทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์ รวมถึงข้อกังวลต่อการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตสงวนและรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ซึ่งเป็นผลมาจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
.
จากการรับฟังความคิดเห็น ประชาชนในพื้นที่ได้สะท้อนความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบของพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวต่อสิทธิการอยู่อาศัยและทำกิน โดยชี้ว่าบทบัญญัติกฎหมายมุ่งเน้นการสงเคราะห์ผู้ไม่มีที่ดิน แทนที่จะรับรองสิทธิในที่ดินและชุมชนที่มีมาแต่เดิม ทำให้ไม่มีการแยกแยะระหว่าง “ผู้อยู่มาก่อน” ซึ่งควรได้รับการรับรองสิทธิ กับ “ผู้ที่มาทีหลัง” ที่อาจต้องการความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ได้แก่:

  • การจำกัดสิทธิแบบเหมารวม: กำหนดการถือครองที่ดินไว้ไม่เกิน 20 ไร่ และให้สิทธิอยู่อาศัยทำกินเพียง 20 ปี สร้างความไม่มั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะในวัยชรา และทำให้ที่ดินไม่สามารถตกทอดเป็นมรดกได้
  • การตัดสิทธิผู้มีที่ดินนอกเขต: บทบัญญัติที่ตัดสิทธิผู้ที่มีที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยอื่นนอกเขตโครงการ ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวสวนในภาคใต้ที่มักมีบ้านพักและที่ทำกินแยกจากกัน
  • ความยุ่งยากในการจัดการที่ดิน: การขออนุญาตตัดโค่นไม้ยางพาราหรือปรับปรุงอาคารมีขั้นตอนซับซ้อนและขาดความยืดหยุ่น
  • ขาดกลไกความร่วมมือ: ไม่มีกลไกที่ชัดเจนสำหรับความร่วมมือระหว่างรัฐและชุมชน ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
  • ไม่แยกแยะความแตกต่างของพื้นที่: กฎหมายไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างในการจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเลและทางบก
  • ขาดการมีส่วนร่วม: ที่ประชุมวิพากษ์ว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่ชุมชนไม่มีส่วนร่วมในการร่างกฎหมายและขาดกการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ทำให้กฎหมายไม่สอดรับกับวิถีชีวิตและความเป็นจริงในพื้นที่
    .
    ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เสนอแนวทางแก้ไขกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นการเคารพความแตกต่างทางวิถีชีวิตและระบบนิเวศ การรับรองสิทธิดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของชุมชน และการจัดการทรัพยากรที่คำนึงถึงบริบทเฉพาะพื้นที่ ดังนี้:
    .
  1. แก้ไขกฎหมายหลักและกฎหมายรอง: ปรับปรุง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 รวมถึงกฎหมายลำดับรอง โดยเน้นหลักการคุ้มครองสิทธิในที่ดินและสิทธิชุมชน เพื่อให้คน ป่าไม้ และทะเลอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน พร้อมรับรองบทบาทชุมชนในการอนุรักษ์ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ โดยระบุให้ชัดเจนว่าชุมชนมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งน้ำ และป้องกันภัยธรรมชาติ เพื่อสร้างความเข้าใจว่าชุมชนคือผู้พิทักษ์ทรัพยากร ไม่ใช่ผู้บุกรุก
    .
  2. ยกเลิกข้อจำกัดที่ไม่เป็นธรรม: ยกเลิกข้อกำหนดระยะเวลาอยู่อาศัยและทำกิน 20 ปี รวมถึงการจำกัดจำนวนพื้นที่รายบุคคลหรือครอบครัว ให้เป็นไปตามสิทธิจริง โดยเฉพาะการตัดสิทธิผู้มีที่อยู่อาศัยนอกเขตอนุรักษ์ และต้องกำหนดให้ที่ดินสามารถตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทได้
    .
  3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง: ให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (meaningful participation) ในกระบวนการร่างกฎหมายทุกระดับที่กระทบสิทธิ โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนต้องเริ่มต้นจากฐานคิดที่ชุมชนเป็นศูนย์กลาง และรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งชุมชนในและรอบพื้นที่ ผู้ประกอบการ และสาธารณชน
    .
  4. สร้างความยืดหยุ่นในกฎหมาย: บทบัญญัติกฎหมายแม่และกฎหมายลำดับรองต้องยืดหยุ่น ให้แต่ละพื้นที่สามารถกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิถีชีวิต จารีตประเพณี บริบทพื้นที่ และระบบนิเวศที่แตกต่างกัน ควรแยกวิธีการจัดการตามลักษณะพื้นที่ (เช่น พื้นที่บนบกในภาคต่างๆ พื้นที่ทางทะเล และพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง) แทนการกำหนดแบบเหมารวม สำหรับภาคใต้ ควรมีแผนการตัดโค่นยางพาราบนที่สูงที่คำนึงถึงการป้องกันดินถล่ม
    .
  5. สร้างความโปร่งใสและการสื่อสาร: กระบวนการภาครัฐ เช่น แผนงาน การรังวัดพื้นที่ การพิจารณาต่างๆ ต้องชัดเจน โปร่งใส และมีการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนทราบอย่างสม่ำเสมอและรวดเร็ว เช่น ความคืบหน้าหลังการรังวัด แผนงานที่กระทบชุมชน หรือผลกระทบจากกฎหมายใหม่
    .
  6. กระจายอำนาจและสร้างกลไกจัดการร่วม: กระจายอำนาจการจัดการและจัดตั้งกลไกการจัดการร่วมระหว่างชุมชนและรัฐ โดยอาจมีคณะกรรมการร่วมบริหารจัดการระดับอุทยานที่มาจากการเลือกตั้งของตัวแทนชุมชน หรือปรับปรุงคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ (PAC) ให้มีสัดส่วนกรรมการจากการเลือกตั้งของชุมชน

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top